เคล็ดลับน่ารู้ การถนอมสีรถ

เคล็ดลับน่ารู้ การถนอมสีรถ

สำหรับใครที่รักรถและก็ไม่อยากที่จะให้สีรถหลุดลอกผุกร่อนได้ง่าย เรามีเคล็ดลับสำหรับการรักษาสีรถ และก็ถะนุถนอมเพื่อให้อยู่ได้นานที่สุด

คุณอย่าจอดรถไว้ใกล้กับโรงงานอุตสาหกรรม ซึ่งจะมีการปล่อยสารเคมีออกมาเนื่องจากว่าฝุ่นละอองที่มาจากอาหารสัตว์ รวมทั้งสารเคมีต่าง ๆ อาจจะปลิวมาติดกับผิวของสีรถก็ได้

ให้คุณจอดรถในที่ร่ม รวมทั้งมีอากาศถ่ายเทด้วย และพื้นที่นั้นจะต้องไม่อับชื้นด้วย และถ้าเกิดว่ามันจำเป็น ที่จะต้องจอดกลางแดด คุณก็ควรที่จะใช้ผ้าคลุมรถไว้ด้วย

ถ้าเกิดว่าคุณต้องขับรถผ่านตรงที่มีฝุ่นมีโคลนรวมทั้งผ่านชายทะเล คุณก็ควรจะทำการล้างฝุ่น รวมทั้งพวกโคลนที่ติดมากับรถออก เนื่องจากว่าบางครั้งนั้น พวกสิ่งสกปรกซึ่งมากับรถ อาจจะนำสารเคมี ซึ่งจะเป็นอันตราย สำหรับสีรถคุณได้เช่นกัน

พยายามห้ามทำให้รถมีรอยขีดข่วนเป็นอันขาด เนื่องจากว่ามันจะทำให้ ทั้งตัวรถนั้นเกิดการผุ ทีนี้มันก็จะลามออกมา เป็นพื้นที่อย่างกว้างเลย

ถ้าเกิดว่ามันมีคราบน้ำมันรวมทั้งคราบสารเคมีมาเปื้อนบริเวณผิวสี ให้คุณทำความสะอาด โดยเร่งด่วนอาจจะใช้ผ้าชุบน้ำสะอาด จากนั้นก็นำมาผสมกับสบู่อ่อน ๆ และอาจจะเป็นแชมพูก็ได้ อย่าใช้ทินเนอร์ น้ำมัน รวมทั้งสารเคมีต่างๆ สำหรับการทำความสะอาดเป็นอันขาด

หลังจากที่คุณไดทำการล้างรถ คุณก็ควรจะทำการเคลือบสีทุกครั้ง เพราะว่าจะได้เป็นการป้องกันสิ่งต่าง ๆ เพื่อไม่ให้มาทำลายสีรถได้ แถมก็ยังช่วยในการประหยัด เรื่องของค่าใช้จ่าย สำหรับการขัดเคลือบสีด้วย

เห็นไหมว่ามันไม่ใช่เรื่องยากเลย เพราะเป็นสิ่งที่เราทำเป็นประจำอยู่แล้ว เพียงแค่เราเพิ่มรายละเอียดให้กับมันอีกสักนิด สีรถของคุณก็จะอยู่กับคุณได้นาน ๆ
ที่มาข้อมูลและภาพ cintaya.com

5 วิธีดูแลแอร์หน้าร้อน

5 วิธีดูแลแอร์หน้าร้อน

ระบบแอร์แม้จะไม่ใช่ระบบที่เป็นตัวบทสำคัญสำหรับการขับเคลื่อนรถยนต์หนึ่งคัน แต่ถือว่าสำคัญต่อคนขับมากๆ? แต่ด้วยความที่ระบบแอร์รถยนต์นั้นเป็นระบบปิด (หมุนเวียนภายในเท่านั้น) ถ้ารถคุณไม่ได้มีปัญหาจริง แค่ดูแลรักษาง่าย 5 ข้อก็คงเพียงพอ
1.เช็กน้ำยาแอร์ ในหน้าหนาวเราอาจจะไม่เคยรู้สึกร้อนอะไรมากมายนัก เพราะอากาศภายนอกช่วยแบ่งเบาภาระการทำงานแอร์ไปส่วนหนึ่ง แต่เมื่อหน้าร้อนคุณจะรู้ได้ทันทีว่าระบบแอร์คุณมีปัญหาหรือไม่ โดยเฉพาะถ้าช่วงที่กำลังเปลี่ยนฤดูนี้ รถใครเย็นแบบชืดๆ ไม่ฉ่ำ ก็ได้เวลาเปิดฝากระโปรงตรวจสอบระดับน้ำยาแอร์ การดูระดับน้ำยาแอร์นั้น คุณสามารถดูได้ที่กรองแอร์ ซึ่งอยู่ในบริเวณแผงระบายความร้อนทางด้านหน้ารถ โดยกรองแอร์หรือที่บางคนเรียกว่า Dryer นี้จะมีช่องตรวจสอบน้ำยา โดยสังเกตผ่านตาแมวที่เป็นกระจกใส่ว่า ถ้าเราเริ่มเห็นฟองอากาศ แสดงว่าน้ำยาแอร์เริ่มน้อย กลับกันถ้าน้ำยายังมากกระจกจะค่อนข้างใส ซึ่งโดยปกติแล้วเราต้องเติมน้ำยาแอร์เป็นประจำทุกๆ 2 ปี

2.ตรวจเช็กรอยรั่วของระบบ บางครั้งสาเหตุที่แอร์รถยนต์ไม่เย็นนั้น ส่วนหนึ่งก็มาจากระบบเกิดรอยรั่ว ซึ่งโดยทั่วไประบบแอร์จะไม่สามารถรั่วเองได้ เว้นแต่จะมีการสึกหรอของอุปกรณ์ ไม่ว่าจะแผงระบายอากาศไปจนถึงโอริงตัวเล็กที่ประกบอยู่ระหว่างชุดท่อแอร์ข้างใน การสังเกตว่าแอร์รถของท่านรั่วหรือไม่นั้นสามารถทำได้ง่ายๆ โดยดูจากรอยรั่วที่น้ำยากระทำต่อนวมแอร์ หรือมีคราบสกปรกในบริเวณต่างๆ ที่ใกล้กับท่อแอร์ ซึ่งคราบเหล่านี้เกิดจากน้ำยาแอร์ แต่กรณีที่รถของท่านเกิดไม่มีรอยน้ำยาเหล่านี้แต่น้ำยาแอร์พร่อง หาย อาจเป็นไปได้ 2 กรณี คือ 1. น้ำยาแอร์ต่ำ และ 2. อุปกรณ์ในระบบที่ไม่ใช่ชุดท่อแอร์รั่ว ซึ่งเราจำเป็นต้องติดต่อช่างผู้เชี่ยวชาญโดยตรง
3.ล้างแอร์ ถ้าคุณคิดว่ารถคุณปกติ ก็ได้เวลาไปล้างแอร์กัน ปัจจุบัน การล้างแอร์นั้น สามารถทำได้ง่ายขึ้นโดยไม่ต้องถอดตู้แอร์ออกมาให้ยุ่งยากวุ่นวาย ซึ่งหากคุณมีโอกาส ค่าใช้จ่ายครั้งละ 1,500 บาทต่อครั้ง อาจจะทำครั้งละ 1 ปี ถือว่าไม่ใช่เงินที่เยอะเลย และนอกจากลมแอร์จะดีขึ้นแล้ว ยังช่วยรักษาสุขภาพของคุณและผู้โดยสารด้วย

4.ล้างรถ หลายคนอาจจะงง มันไปเกี่ยวอะไรกับการล้างรถ แต่นี่เป็นเรื่องที่เกี่ยวจริงๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเราแนะนำให้คุณไปร้านล้างอัดฉีดที่มีเครื่องน้ำพ่นแรงๆ แล้วบอกเน้นย้ำเขาให้จัดการกับแผงระบายความร้อนด้านหน้ารถคุณ ซึ่งทุกวันที่คุณขับ นอกจากเศษฝุ่น คราบใบไม้แล้ว บางทีอาจจะแถมสัตว์ประหลาดมาด้วยนั้น จะถูกหมักความสกปรกไว้ตรงนี้ทั้งหมด ซึ่งการล้างอัดฉีดเป็นวิธีเดียวที่ช่วยได้ และถึงมันไม่เกี่ยวกับระบบปรับอากาศรถยนต์โดยตรง แต่การที่เราขจัดคราบฝุ่น-เศษขยะไปได้ก็ช่วยการระบายความร้อนของน้ำยาดีขึ้น และแน่นอนแอร์เย็นเร็วขึ้นด้วย

5.ร้านแอร์รถยนต์ หลังจากที่เราเสร็จการเช็กด้วยตัวเราเองแล้ว ก็ได้เวลาไปแวะเยี่ยมช่างผู้ชำนาญการ เพื่อให้เขาตรวจสอบอีกครั้งเป็นการเช็กซ้ำ เพราะการที่เราเช็กด้วยตัวเองบางครั้งไม่ใช่ว่าจะรู้ไปเสียทั้งหมด การที่เราเช็กมาก่อนหน้านี้นั้น ช่วยให้เรารู้ถึงปัญหาก่อนที่จะเข้าร้าน

เลือกยางรถยนต์ให้เหมาะกับรถของคุณ

เลือกยางรถยนต์ให้เหมาะกับรถของคุณ
ยางรถยนต์เป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญที่มีผลต่อความปลอดภัยในการใช้รถยนต์ การเลือกและใช้ยางจึงต้องมีเทคนิคเพื่อความเหมาะสมกับรถของเรา ซึ่งผมเชื่อว่ายังมีอีกหลายท่านโดยเฉพาะคุณผู้หญิงอาจไม่มีความรู้ด้านการ เลือกและการดูแลยางรถยนต์เท่าไรนัก มีรถก็ใช้ขับไปเรื่อยๆ มารู้ตัวอีกทียางรถล้านไปเสียแล้ว วันนี้ผมมีวิธีการเลือกยางรถยนต์ให้เหมาะสมกับรถยนต์ ผนวกไปกับการดูแลยางรถยนต์ง่ายๆ มาฝากครับ

ขนาดของยาง
ยางสำหรับรถยนต์นั่งทั่วไปจะมีขนาดบอกไว้บนแก้มยาง ใช้เป็นมาตรฐานเดียวกันทั่วโลก เช่น 195/60R15 ถ้าเปลี่ยนเป็นยางขนาดเดิมก็เลือกเพียงยี่ห้อหรือรุ่นที่ต้องการเท่านั้น แต่ถ้าหากต้องการเพิ่มทั้งการเกาะถนน และเพิ่มความสวยงามด้วยการเปลี่ยนขนาดล้อและบางให้ใหญ่ขึ้นโดยไม่เปลี่ยนกระทะล้อ ก็อาจเพิ่มความกว้างของยางขึ้นอีก 10 มิลลิเมตร หรือสูงสุดไม่เกิน 20 มิลลิเมตร โดยทุกๆ 10 มิลลิเมตรของความกว้างที่เพิ่มขึ้น ต้องลดความสูงของแก้มยางลง 5 ซีรีส์ เพื่อให้ยางที่เปลี่ยนใหม่มีความสูงใกล้เคียงยางเดิม

การดูแลรักษายางรถยนต์
ขั้นตอนที่ 1 การทำให้ยางมีความสมดุลกัน
สังเกตว่าล้อรถของคุณติดตุ้มถ่วงล้อลงบนยางรถหรือไม่ เพราะน้ำหนักของตุ้มนี้เหล่านี้จะทำให้ยางมีหน้าสัมผัสเท่ากัน ถ้าพบว่ามันสั่น อาจต้องรีบไปตั้งศูนย์ถ่วงล้อ หรือนำรถส่งช่างเพื่อตรวจเช็ค

ขั้นตอนที่ 2 มั่นใจว่าล้ออยู่ในสภาวะสมดุล
การปรับให้สมดุลของล้อทั้ง 4 ให้อยู่ในระดับเดียวกัน ช่วยให้คุณมั่นใจว่ารถสามารถวิ่งได้อย่างราบรื่น และช่วยให้งานทำงานเข้ากันได้ดี อีกทั้งสร้างสมดุลให้กับรถยนต์ได้ แต่ถ้ารถที่คุณใช้เป็นแบบ 4 ล้ออิสระจากกันจะต้องมีการปรับตั้งทุกล้อ โดยเฉพาะอย่างยิ่งล้อคู่หน้า การปรับตั้งความสมดุลเป็นตัวหลักในการกำหนดอายุของยาง และทำให้การทำงานของรถยนต์ประสานกันได้ดี คุณต้องตรวจยางปีละสองครั้ง เมื่อไรก็ตามที่ดอกยางของล้อไม่สม่ำเสมอ หรือขับรถแล้วไม่ตรงทางเป็นการกินเลนด้านซ้ายหรือขวาแสดงว่าถึงเวลาที่ควรจะตรวจสอบยางได้แล้ว

ขั้นตอนที่ 3 สลับยาง
ขั้นตอนนี้ต้องทำบ่อยกว่าขั้นตอนอื่นอยู่สักหน่อย เพื่อที่จะให้ยางอยู่ในรูปทรงที่ดีนานทีสุดเท่าที่จะเป็นไปได้ บริษัทยางส่วนใหญ่จะบอกให้ทำการสลับยางทุกๆ 10,000 กม. โดยประมาณ สำหรับรถที่ไม่ได้ขับบ่อยๆหรือรถขับเคลื่อนล้อหน้า เราแนะนำว่าควรสลับยางทุกๆ 15,000 กม. เป็นอย่างน้อย ควรตระหนักอยู่เสมอว่ายางประเภทต่างๆใช้ระยะเวลาในการสลับยางต่างกัน ควรดูจากคู่มือรถประกอบ

ดอกยาง
ดอกยางสำหรับรถยนต์นั่ง แบ่งเป็น 2 กลุ่มใหญ่ๆ คือ เน้นความนุ่มนวลและมีเลียงรบกวนน้อย ดอกยางจะละเอียด ร่องยางแคบและถี่เพราะเน้นการรีดน้ำหรือฝุ่น ทราย สามารถสะบัดออกด้านข้างได้เร็วและมากที่สุด ส่วนยางที่เน้นการเกาะถนน ประเภทรถสปอร์ต ดอกยางจะมีลักษณะเป็นก้อนใหญ่ ร่องยางกว้างและอยู่ห่างกัน เพื่อเก็บน้ำที่ถูกรีดออกจากหน้ายาง เวลาขับบนทางเรียบแห้งจะมีเสียงดังกว่ายางในกลุ่มแรก หากรถของคุณเป็นประเภทออฟโรดลุยโคลน หิน หรือวิบาก ดอกยางควรบั้งใหญ่ ร่องห่าง เน้นการสลัดโคลน หิน น้ำ แต่ราคาค่อนข้างแพงเลยทีเดียวครับ

นอกจากนี้ยังมียางรถยนต์สำหรับเส้นทางกึ่งลุยกึ่งเรียบ ดอกยางควรเป็นแบบกึ่งหรือผสม ระหว่างยางสำหรับถนนเรียบและลุย คุณสมบัติและประสิทธิภาพทุกด้านก่ำกึ่งระหว่างยาง 2 ประเภท ใช้งานบนทางเรียบก็เกาะถนนพอใช้ได้ และมีเสียงรบกวนบ้าง หากนำไปลุยหนักๆจะไม่ค่อยไหว เหมาะสำหรับการใช้งานบนเส้นทางลูกรัง หรือออฟโรดที่ถูกนำไปลุยแบบเบาๆ เป็นครั้งคราวเท่านั้น

แก้มยางเสริมพิเศษ
ยางหลายรุ่นมีการเสริมเนื้อของแก้มยางใกล้กับขอบกระทะล้อเป็นขอบนูนเล็กๆ เพื่อป้องกันขอบล้อแม็กเสียโฉมเมื่อขับเบียดขอบทางเท้า มักมีใช้ในแก้มยางเตี้ยเป็นส่วนใหญ่ ช่วยให้ใช้งานในเมืองได้สบายใจขึ้น แต่ไม่เกี่ยวข้องกับประสิทธิภาพการเกาะถนนครับ

ที่มาข้อมูลและภาพ toyotabuzz.com

5 ความจริง ที่คุณควรรู้ก่อนใช้แก๊สติดรถยนต์

5 ความจริง ที่คุณควรรู้ก่อนใช้แก๊สติดรถยนต์
ปัจจุบันทางออกของสภาวะราคาน้ำมันที่พุ่งสูงขึ้นในยุคนี้ ทำให้หลายคนถวิลหาพลังงานทางเลือกที่มีราคาถูกกว่าอย่างเช่นแก๊ส ที่คนจำนวนไม่น้อยคุ้นเคยมันอย่างดี ไม่ว่าจะเป้นแก๊ส LPG ที่บรรดาคนขับรถยนต์แท็กซี่เติมใช้กันมานานนับ 10 ปี หรือจะทางเลือกใหม่กับ CNG ไม่ ว่าอะไรก็ช่วยให้คนที่ต้องการความประหยัดและคุ้มค่าในการเดินทางไปยังจุด หมายต่างๆ โดยไม่ต้องพึ่งพาน้ำมันสามารถบรรลุตามเป้าหมายที่ได้วางเอาไว้

แม้พลังงานทางเลือกอย่าง ?แก๊ส? จะให้ความคุ้มค่าในการใช้งาน แต่เราก็ควรตระหนักว่า เมื่อมีข้อดีเป็นธรรมดาในทางกลับกันมันก็จะต้องมีผลเสียตามมา ซึ่งในหลายๆ เหตุผลต่างๆนานา อาจเป็นเพียงจุดเล็กๆ ที่คุณอาจจะคาดไม่ถึงก็เป็นไปได้

เครื่องยนต์จะสึกหรอเร็วกว่าปกติ
เราเชื่อว่าเรื่องความเสียหายของเครื่องที่ เกิดจากการใช้แก๊สก๊าซติดต่อกันเป็นระยะเวลานาน คงเป็นเรื่องที่คอประหยัดส่วนใหญ่คงจะทราบกันดี แม้จะมีเสียงจากกลุ่มผู้ใช้ก๊าซว่าสามารถทำให้เครื่องยนต์เผาไหม้ได้สมบูรณ์ กว่าระบบน้ำมันด้วยซ้ำ แถมยังมีค่าออกเทน โดยเฉลี่ยสูงกว่า 105 อยู่เป็นทุนเดิม ทำให้บางคนมักเข้าใจผิดว่า รถติดแก๊สแล้วจะวิ่งดีกว่าน้ำมัน

ความจริงเรื่องแก๊สกับการทำงานเครื่องยนต์ นั้น สาเหตุที่ทำให้เครื่องยนต์มีการสึกหรอเร็วกว่าปกตินั้น ก็มีสาเหตุมาจากการเผาไหม้ภายในห้องเผาไหม้ ที่แก๊สแม้จะมีค่าออกเทนหรือที่ศัพท์ในวงการอุตสาหกรรมปิโตเลียมเรียกว่า “อีเนอจีเชน” มากกว่าน้ำมันในระดับพรีเมี่ยมออกเทน 95 แต่สิ่งที่แตกต่างอย่างเห็นได้ชัดก็ไม่พ้นลักษณะการเผาไหม้

ด้วยความที่มันมีคุณสมบัติเป็นก๊าซนี่เองก็ เลยทำให้การเผาไหม้ที่เกิดขึ้นในห้องเผาไหม้ เป็นการเผาไหม้แห้ง สังเกตได้จากระบบแก๊สมักถูกต่อร่วมกับระบบดูดอากาศไปใช้งาน ส่งผลให้ค่าเสียดทานของอุปกรณ์ต่างๆ อย่างเช่นวาล์วหรือตัวลูกสูบมีมากกว่า และเมื่อมีการเสียดทานสิ่งที่ตามมาก็คือ ความร้อน ซึ่งนี่เป็นตัวการที่ทำให้เครื่องยนต์มีอัตราการสึกหรอเร็วขึ้นกว่าปกติ โดยเฉลี่ย 1.5 เท่า เลยทีเดียว และสามารถยืนยันได้จากคำแนะนำของท่านผู้เชี่ยวชาญทางพลังงานแก๊ส ที่มักให้เปลี่ยนน้ำมันเกรดธรรมดาที่สามารถใช้ได้ถึง 5000 กิโลเมตร ในระยะที่ 4000 กิโลเมตร

แก๊สไม่ได้ทำให้รถประหยัดขึ้น
อีกหนึ่งข้อเท็จจริงที่คอประหยัดหลายคนมองข้ามไปว่าการติดแก๊สความจริงแล้ว ไม่ได้ช่วยให้เครื่องยนต์ของคุณมีสมรรถนะการทำงานดีขึ้น ซึ่งส่งผลทำให้รถสามารถวิ่งได้ไกลขึ้นหรือมีอัตราเฉลี่ยใช้พลังงานน้อยลง เมื่อเทียบกับอัตราการเดินทางที่เกิดขึ้นจริง

ความจริงแล้วการติดแก๊สให้กับรถคู่ใจของคุณนั้น เป็นเพียงการหลีกเลี่ยงค่าพลังงานที่สูงเมื่อเทียบกับราคาก๊าซที่ถูกว่ากัน ครึ่งต่อครึ่ง หรืออาจจะถูกกว่าถึง 2 ใน 3 ของราคาน้ำมันที่ขายกันอยู่ตามปั้ม

อันที่จริงแล้วเมื่อติดแก๊สเครื่องยนต์ไม่ได้วิ่งดีขึ้นหรือมีอัตราความ ประหยัดของเครื่องยนต์มากขึ้นอย่างที่คุณหวังเอาไว้ เพียงแต่เมื่อหันไปใช้พลังงานจากแก๊สแล้วค่าใช้จ่ายที่คุณต้องควักเงินออก จากกระเป๋าต่อหน่วยพลังงานนั้นจะน้อยลง และหากใครใช้รถแก๊สกันอยู่ คงจะพอรู้ว่าแก๊สเต็มปริมาตร 1 ถัง จะวิ่งได้น้อยกว่าน้ำมันประมาณ 100-200 กิโลเมตรเลยทีเดียว ซึ่งถ้าหากพูดแล้วคุณอาจจะต้องเติมแก๊สมากกว่าน้ำมันเสียอีก แม้จะราคาถูกกว่าก็ตามเถอะ

แก๊สทำให้คุณตายผ่อนส่งโดยไม่รู้ตัว
หลายคนที่ติดแก๊สมัก จะคิดว่าแก๊สไม่น่าจะมีผลอะไรต่อสุขภาพเมื่อดูจากการติดตั้งที่เราจะเห็นได้ ถึงความปลอดภัยมั่นใจได้ แถมมีวิศวกรเซ็นใบรับรองอีกต่างหาก ทว่าสิ่งที่หลายคนลืมตระหนักนึกถึงไปยังมีอีกมาก และหนึ่งในนั้นก็เป็นเรื่องสำคัญอย่างสุขภาพด้วยสิ เพราะ แก๊สไม่ได้แค่ติดไฟได้แต่ยังมีอันตรายต่อสุขภาพด้วย

จากข้อมูลของศูนย์ข้อมูลวัตถุอัตรายและเคมีภัณฑ์ ภายใต้หน่วยงานกรมควบคุมมลพิษ ให้ข้อมูลถึงอันตรายของก๊าซที่จะมีผลกระทบต่อสุขภาพว่าCNG หรือก๊าซธรรมชาติ ที่บางคนอาจจะรู้จักในนาม NGV นั้น หากสูดดมหายใจเข้าไปสะสมเป็นปริมาณมากๆ จะก่อให้เกิดอาการหายใจติดขัดอย่างรุนแรง, ปวดศีรษะ, วิงเวียน และอาจหมดสติได้ และหากสัมผัสถูกตาอาจก่อให้เกิดการระคายเคือง

ในขณะที่ก๊าซยอดฮิตตลอดกาลอย่าง LPG ก็ มีผลกระทบไม่ได้ด้อยไปกว่ากันเริ่มจาก การหายใจเข้าไป อาจจะเป็นอันตรายต่อระบบประสาทส่วนกลาง ทำให้เกิดการกระตุกสั่น ปวดและเวียนศีรษะ เซื่องซึม สายตาพร่ามัว เมื่อยล้า อาการชักกระตุกอย่างแรง หมดสติ ไม่รู้สึกตัว อาจหยุดหายใจทันทีและถึงแก่ความตาย หากสัมผัสโดยตรงทางผิวหนัง จะทำให้เนื้อเยื่อตาย เช่นเดียวกับการสัมผัสถูกตาก็จะให้ผลเช่นเดียวกันและอาจทำให้ตาบอดได้

แม้ในความเป็นจริงคงไม่มีใครนึกอยากสูดก๊าซพวกนี้เข้าไป แต่เราปฏิเสธไม่ได้ว่าทุกครั้งที่เราเข้าไปเติมก๊าซเราก็มักจะได้กลิ่น หมายถึงว่าเราสูดดมไปโดยไม่รู้ตัว แม้จะเป้นในปริมาณที่น้อย แต่หากเราต้องเข้าไปเติมกันบ่อยๆ มันก็น่าคิดใช่ไหม แถมเกิดก๊าซรั่วหรือใครที่จูนแก๊สหนาๆ จนมีกลิ่นเข้ามาในห้องโดยสาร อันนี้ควรรีบตรวจสอบให้ดี

แก๊สทำให้รถคุณไร้ค่า
เมื่อถึงเวลาต้องก้าวต่อไปสู่อนาคตที่ดีกว่า คนจำนวนไม่น้อยเลือกที่จะขายรถคันเดิมเพื่อซื้อคันใหม่ที่ให้ความสะดวกสบาย มากกว่า ความจริงแล้วมันก็เป็นเพียงเรื่องธรรมดา แต่เมื่อไรที่คุณเลือกที่จะขายรถติดแก๊สคันโปรดคู่ใจแล้ว บรรดาคนซื้อทั้งหลายโดยเฉพาะเต๊นท์ก็มักจะกดราคาด้วยข้ออ้างเพียงว่า ?มันเป็นรถแก๊ส?

ทั้งที่จริงแล้วข้ออ้างดังกล่าวฟังไม่ขึ้นสำหรับผู้เป็นเจ้าของรถ แต่จากที่ทางทีมงานได้มีโอกาสพูดคุยกับคนในวงการไฟแนนซ์ชั้นนำ ก็เลยทำให้ได้ทราบว่า ที่บรรดาเต๊นท์ต่างกดราคาและขยาดในการรับซื้อรถติดแก๊สไปขายนั้น ส่วนหนึ่งก็มาจากสถาบันการเงินที่คนอยากซื้อรถส่วนมากต้องยื่นขอสินเชื่อนั่นเอง

เป็นที่น่าแปลกว่าบรรดากลุ่มสถาบันการเงินที่ปล่อยสินเชื่อเหล่านี้ พวกเขาต่างก็เข็ดขยาดกับรถยนต์ติดแก๊ส แม้จะไม่มีทางทราบได้เลยว่า ไฉนรถติดแก๊สถึงได้ดูถูกดูแคลนมากมายถึงขนาดบางแห่ง ปฏิเสธการปล่อยสินเชื่อสำหรับรถติดแก๊ส หรือไม่ก็ต้องมีการค้ำประกันเพิ่มเติมเช่นโฉนดที่ดิน เพื่ออะไรเราก็มิอาจทราบ แต่เราคาดว่าในสายตาของบรรดาสถาบันการเงิน คงมองว่า การใช้รถติดแก๊สนั้นมีความเสี่ยง ผู้ใช้อาจมีสิทธิ์เสียชีวิตได้สูง

แก๊สอาจจะทำให้เรื่องเล็กเป็นเรื่องใหญ่
ข้อนี้เป็นเรื่อง แปลกแต่จริงที่ทีมงานได้มีโอกาสพูดคุยกับนักกฏหมายที่คร่ำวอดในการว่าความ คดีต่างๆ ซึ่งเขาได้เล่าให้เราฟังถึงคดีจราจรเคสหนึ่ง ซึ่งเป็นเรื่องราวระหว่างรถยนต์ติดแก๊สกับรถยนต์ธรรมดาเฉี่ยวชนกันตามภาษา การจราจรวุ่นวายในบ้านเรา ทีแรกก็เป็นคดีปกติแถมรถแก๊สเป็นฝ่ายถูกด้วยซ้ำ แต่ดูเหมือนเรื่องเล็กจะเป็นเรื่องใหญ่เมื่อรถติดแก๊สเกิดเหตุเพลิงไหม้และ วอดกลายเป็นเถ้าถ่านในที่สุด

เรื่องมันกับตาลปัตรตรงที่ความจริงแล้วจากสถานการณ์รถแก๊สน่าจะต้องได้รับ การชดใช้ค่าเสียหายจากคู่กรณีเป็นเงินจำนวนมากอยู่ ทว่าพอคดีเข้าสู่กระบวนการตามขั้นตอน เนื่องจากยอมความกันไม่ได้ กลับกลายเป็นว่าเจ้าของรถติดแก๊สนั้น ต้องจ่ายค่าสินไหมทดแทนคู่กรณี เนื่องจากมีการพิจารณาแล้วเห้นพ้องว่า ทำให้อีกฝ่ายตกอยู่ในสถานการณ์เสี่ยงที่อาจเป็นอันตรายต่อชีวิต สรุปว่า เจ้าของรถแก๊สซวย 2 ต่อ ไหนรถจะไม่มีขับแถมต้องจ่ายเงินให้คู่กรณีอีกต่างหาก เคราะห์ดีว่ารถมีประกันภัยไม่งั้นมีหวังกระเป๋าฉีกแน่ๆ

เหตุผลทั้ง 5 ข้อ ที่วันนี้เรานำมาเล่าสู่กันฟังอาจเป็นเพียงเรื่องเล็กในสายตาหลายๆคน แต่ก็ไม่ควรมองข้าม เพราะไม่ว่าคุณจะคิดอย่างไรกับพลังงานทางเลือกอย่างแก๊ส ที่ชั่วโมงนี้แทบปฏิเสธไม่ได้ เราก็ควรจะศึกษามันให้ดีก่อนที่จะเสียเงินทำการใดๆ มิเช่นนั้นปัญหาที่คุณไม่คาดคิดอาจเกิดขึ้นกับคุณ

ที่มาข้อมูลและภาพ banprak-nfe.com

ขนาดเครื่องยนต์เลือกอย่างไรดี

ในช่วงที่ผ่านมานั้น เราต้องยอมรับว่า พวกเราหลายคนที่กำลังจะซื้อรถยนต์คันใหม่ มาประจำการที่บ้านนั้น ค่อนข้างจะมองอะไรมไลึกซึ้งมากมายนัก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในเรื่องของการเลือกรถ ที่ส่วนหนึ่งนั้นยังไม่มีเรื่องของขนาดเครื่องยนต์ ซึ่งเป็นประเด็สำคัญ ที่ส่งผลถึงเรื่องเงินในกระเป๋าอย่างค่าเชื้อเพลิง ที่ต้องควักจ่ายเป็นประจำด้วย

น้อยคนนักที่มักจะคิดว่าขนาดเครื่องยนต์ของรถยนต์นั้นสำคัญ แม้ปัจจุบันความประหยัดนั้นจะถูกเบนประเด็นสนใจไปที่พลังงานทางเลือกทั้งน้ำมันแก๊สโซฮอลล์ หรือแม้แต่แก๊สเองก็ตาม ที่ความจริง ความประหยัดนั้น คือการเลือกรถที่เราใช้งานได้อย่างคุ้มค่าลงตัว และเหมาะสมกับการเดินทางที่เราใช้งานประจำต่างหาก

การเลือกเครื่องยนต์ให้เหมาะสมต่อการใช้งาน นั้น นับว่าเป็นโจทย์สำคัญ ส่วนหนึ่งด้วยค่านิยมคนไทยที่มองว่าเครื่องใหญ่นั้นต้องวิ่งดีกว่า ซึ่งแน่นอนว่ามันก็ไม่ได้ผิดที่คิดเช่นนั้น แต่ปัจจุยบัน เครื่องยนต์สมัยใหม่ถูกพัฒนาให้มีการตอบสนองที่ดี แม้จะมีขนาดเล็กก็ตาม แล้วคำถามคือเราจะเลือกรถขนาดไหน ที่เหมาะสมต่อการใช้งาน ที่วันนี้ เรามีปัจจัยสำคัญๆ ที่อาจจะช่วยคุณตอบโจทย์นี้ได้

สภาวะการขับขี่ของคุณ

การซื้อรถนั้นเป็นเรื่องง่าย แต่การซื้อรถที่นำมาใช้งานได้อย่างคุ้มค่านั้นต้องยอมรับว่าเป็นเรื่องที่ ยากกว่า และแน่นอนว่า เครื่องยนต์คือส่วนหลักนอกจากการออกแบบของตัวรถที่คุณควรจะต้องนึกถึง และคิดให้ดี

ปัจจุบันรถยนตืนั้นมีการแบ่งแยกชั้นกันอย่างเป็นระบบมากขึ้น เครื่องยนต์มีตั้งแต่ขนาดเล็ก 1000 ซีซี ไปจนถึงขนาดใหญ่ที่พบได้ในรถสปอร์ต แต่ความจริงแล้ว เครื่องยนต์นั้นถูกออกแบบมาให้ตอบสนองการใช้งานในรถแต่ละขนาดอยู่แล้ว

ข้อสำคัญของการเลือกซื้อโดยเฉพาะการเลือกขนาดเครื่อยนต์นั้นควรดูสภาวะ การใช้งานที่จะเกิดขึ้นจริงในอนาคตข้างหน้าเป็นสำคัญ และถ้ามองไม่ออกว่า เส้นทางที่ขับปัจจุบันนั้นแบบไหนจะคุ้มค่า ลองดูตามนี้

เครื่อง 1.2- 1.5 ลิตร เน้นการใช้งานในเมือง ออกท่องต่างจังหวัดเป็นครั้งคราว ทางยาวไม่บ่อยเน้นทางสั้นความเร็วไม่สูงมากนัก

เครื่อง 1.6-1.8 ลิตร เน้นการใช้งานระยะกลาง ตัวอย่างเช่นบ้านอยู่ชานเมืองทำงานในเมือง ใช้ทางยาวบ้างเป็นบางครั้ง ออกต่างจังหวัดถี่หน่อย แต่ไม่บ่อยมาก เน้นความลงตัวทั้งสมรรถนะและการประหยัดเป็นสำคัญ

เครื่อง 2.0- 3.5 ลิตร และมากกว่านั้น เน้นขับทางยาวบ่อยครั้ง สาวกทางด่วนขาประจำ ไปกลับต่างจังหวัด บ่อยๆ แทบทุกสัปดาห์ ไม่ค่อยได้ใช้งานในเมืองมากนัก โดยมาก รถกลุ่มนี้ มักเป็นคันที่ 2 ของ บ้าน หรือ ถ้าใช้งานบ่อยครั้ง เครื่อง 2.0-2.4 ลิตร จะตอบโจทย์ได้ดีกว่า เรื่องความประหยัด

จำนวนคนนั่งและบรรทุก
เมื่อดูสภาวะการขับขี่ที่เราน่าจะได้ใช้งานเป็นประจำแล้ว ประการต่อมา เราต้องมาคำนึงถึง การนั่งและการบรรทุก ที่จะเกิดขึ้นจริงในอนาคตด้วย โดยเฉพาะคนที่จะเดินทางกับเราเป็นประจำ อาจจะมองถึงเพื่อนขาเที่ยวอะไรแบบนี้ด้วยก็ดี

ตามปกติแล้วรถยนต์ส่วนใหญ่นั้นจะมีการเซทขนาดเครื่องยนต์มาพอดีกับการใช้งานอยู่แล้ว ซึ่งโดยมากจะมีการเซทให้สามรถรับน้ำหนักกับการนั่งหรือบรรทุก ที่จะเกิดขึ้นจริงจากผู้ใช้ ทว่าท้ายที่สุดแล้วหลายคนจะพบว่ามันอืดอาดกว่าที่เป็น

การเลือกเครื่องยนต์นั้นต้องดูสิ่งของที่บรรทุกด้วย โดยเฉพาะ น้ำหนักตัวของเรา และสิ่งของที่เราพกไปด้วยประจำ หรือน่าจะวางหรือได้ใช้เป็นประจำ ซึ่งหากคุณต้องมีการบรรทุกบ่อยครั้ง ลองมองรถยนต์ที่มีเครื่องยนต์ที่มี ซีซีสูงเข้าไว้แต่ไม่ต้องโอเวอร์ เพราะเครื่องยนต์ซีซีสูง แม้จะมีค่าตัวแพงกว่าแต่จะทำกำลังและแรงบิดดีกว่า ทำให้ไม่ต้องมานั่งอารมณ์เสีย ยามขับขี่และช่วยมั่นใจได้ในยามคับขัน

ดีเซล-เบนซินต่างกัน ควรจำให้ดี
หลายคนมักมองว่ารถเก๋งนั้นความสบายและนุ่มนวลในการขับขี่นั้นต้องหาได้จากเครื่องยนต์เบนซินเพียงอย่างเดียว แต่ปัจจุบันเครื่องยนต์ดีเซล ก็ก้าวเข้ามามีบทบาทได้รับการยอมรับแพร่หลายมากขึ้น อย่ามัวงมงายกับความเชื่อเก่าๆ

เครื่องยนต์ดีเซลนั้นมีข้อดีสำคัญอยู่หลายประการ โดยเฉพาะในส่วนของแรงบิดจะให้กำลังดีกว่าในรอบต่ำ และในขณะเดียวกันยังไม่จำเป็นต้องใช้รอบสูงในการขับขี่ ทำให้รถเครื่องดีเซลนั้นมีความประหยัดมากขึ้น และจะดียิ่งขึ้น ถ้าขับทางไกล

ความแตกต่างระหว่างเครื่องยนต์เบนซินและดีเซล นั้นก็เป็นโจทย์ที่น่าคิดไม่แพ้กัน เพราะปัจจุบัน บางครั้งราคาก็ไม่ได้ต่างกันมาก แถมบางรุ่นยังเป็นตัวท๊อปของรถยนต์รุ่นนั้น การตัดสินใจว่าจะเลือกเครื่องยนต์แบบไหนดี อย่ามองเพียงขนาดเท่านั้น แต่ควรมองแรงบิดเป็นโจทย์สำคัญ เพราะหลายครั้งเครื่องยนต์ดีเซลที่มีขนาดเล็กกว่าจะมีแรงบิดดีกว่าเครื่องเบนซินในขนาดที่เท่ากัน แต่กลับกันมันก็ให้แรงม้าที่น้อยกว่า

ทั้งนี้การเลือกขนาดเครื่องยนต์นั้นควรพิจารณาให้ดีก่อนซื้อ เพราะหลายครั้งที่เราพบว่าซื้อรถมาขับแล้วบอกว่าอืดบ้างว่า ซดน้ำมันอย่างรับไม่ได้ แต่ความจริงแล้วทุกอย่างมันอยุ่ที่คุณลือกซื้อและตัดสินใจ สำคัญคือควรเลือกให้ดี

เคดิต : http://auto.sanook.com

สีรถที่ถูกโฉลกตามวันเกิด

วิธีแก้เคล็ด
วิธีแก้เคล็ดสำหรับผู้ที่ใช้สีรถที่เป็นกาลกิณีวันเกิด เช่น คนเกิดวันอาทิตย์ ใช้รถสีฟ้า หรือสีน้ำเงิน เป็นต้น ให้หาสติกเกอร์ “สีที่เป็นศรี” ของวันเกิดของเจ้าของรถ เช่น คนเกิดวันอาทิตย์ มีสีเขียว เป็นศรี เป็นต้น เมื่อได้สีนั้นมาแล้ว ให้ตัดสติกเกอร์ให้ได้ขนาด 2×2 นิ้ว จำนวน 4 แผ่น แล้วเอาไปติดตำแหน่งของรถต่อไปนี้ แผ่นที่ 1. กระโปรงหน้ารถ (ตรงกลาง) 1 แผ่น แผ่นที่ 2. ติดที่กระโปรงหลัง (หรือฝาท้าย) แผ่นที่ 3. ติดที่ประตูหน้าซ้าย แผ่นที่ 4. ติดที่ประตูหน้าขวา

สีที่เป็นศรีสำหรับคนเกิดวันต่างๆ
1. เกิดวันอาทิตย์ สีเขียว เป็น ศรี
2. เกิดวันจันทร์ สีดำ เป็น ศรี
3. เกิดวันอังคาร สีเหลือง เป็น ศรี
4. เกิดวันพุธ กลางวัน สีเขียวอ่อน เป็น ศรี
5. เกิดวันพฤหัสบดี สีส้ม เป็น ศรี
6. เกิดวันศุกร์ สีชมพู เป็น ศรี
7. เกิดวันเสาร์ สีน้ำเงิน เป็น ศรี
8. เกิดวันพุธ กลางคืน สีขาว เป็น ศรี

คนเกิดวันอาทิตย์
– ตามหลักทักษาคนที่เกิดวันอาทิตย์ ห้ามใช้ ศ ษ ส ห ฬ ฮ เพราะเป็นอักษรกาลกิณี
– เลขทะเบียนรถห้าม ไม่ให้มีเลข 6 และเลข 3
– ไม่ควรทำการมงคลต่างๆ ในวันศุกร์ เพราะเป็นกาลกิณีในวันเกิดและไม่ควรทำการมงคลต่างๆ ในวันอังคาร เพราะเป็นวันคู่ศัตรูวันเกิด
– ถ้าจะออกรถ สีรถที่ควรเลือกใช้หรือสีรถที่ถูกโฉลก ของคนเกิดวันอาทิตย์

รถสีแดงก่ำหรือสีแดงเลือดหมู : เสริมสง่าราศี มากด้วยบุญญาบารมี มีอำนาจวาสนา คนนบนอบยำเกรง

รถสีดำ : เสริมความน่าเคารพนับถือ เสริมดวงเรื่องทรัพย์สินเงินทอง การเงิน

รถสีขาว สีครีม : เสริมความสงบปลอดภัยจากเหตุร้าย เช่น อุบัติเหตุ แคล้วคลาดจากอันตรายทั้งปวง

รถสีม่วงเปลือกมังคุด : เสริมดวงด้านศรัทธา ความน่าเชื่อถือ ความไว้วางใจ และดวงเรื่องการเงิน

รถสีเขียว : เสริมดวงให้คนรักเมตตา อุปถัมภ์ค้ำชู ช่วยเหลือทำให้สะดวกราบรื่นในเรื่องต่างๆ

รถสีบรอนซ์ สีเทา สีทอง : เสริมดวงเรื่องเมตตามหานิยม เสริมเสน่ห์ การสนับสนุนเกื้อกูล

รถสีฟ้า สีน้ำเงิน : ไม่ควรออกรถสีนี้ เพราะเป็นกาลกิณี หมายถึง โชคร้าย อัปมงคล ความเป็นเสนียด ศัตรูคู่แข่ง อุปสรรคในการดำเนินชีวิต

คนเกิดวันจันทร์
– ตามหลักทักษาคนที่เกิดวันจันทร์ ห้ามใช้ สระทั้งหมด (เว้นไม้หันอากาศและตัวการันต์) เพราะเป็นอักษรกาลกิณี
– เลขทะเบียนรถห้าม ไม่ให้มีเลข 1 และเลข 5
– ไม่ควรทำการมงคลต่างๆ ในวันอาทิตย์ เพราะเป็นกาลกิณีในวันเกิดและไม่ควรทำการมงคลต่างๆ ในวันพฤหัสบดี
เพราะเป็นวันคู่ศัตรูวันเกิด
– ถ้าจะออกรถ สีรถที่ควรเลือกใช้หรือสีรถที่ถูกโฉลก ของคนเกิดวันจันทร์

รถสีส้ม สีเหลืองแก่ : เสริมดวงเรื่องการเงิน ความมั่นคง ทุนทรัพย์ ราคาและคุณค่าที่จะเพิ่มพูนให้แก่ตนเองในปัจจุบันและภายภาคหน้า

รถสีดำ : เสริมความสงบปลอดภัยจากเหตุร้าย เช่น อุบัติเหตุ แคล้วคลาดจากอันตรายทั้งปวง

รถสีน้ำเงิน สีทอง : เสริมเสน่ห์ ผู้ใหญ่รักเมตตาและเอ็นดู มีแต่สิ่งที่เป็นสิริมงคลแก่ชีวิต หลักทรัพย์ โชคลาภ เสน่ห์ที่ทำให้คนรักใคร่เมตตา และศรัทธาในตัวเรา

รถสีม่วงเปลือกมังคุด : เสริมดวงด้านความสะดวกราบรื่นทุกอย่าง

รถสีชมพู : เสริมดวงให้ประสพผลสำเร็จได้รับการอุปถัมภ์ค้ำชู ได้รับการสงเคราะห์เกื้อหนุนจากผู้ใหญ่ ได้รับการส่งเสริม ในการดำเนินชีวิตและหน้าที่การงาน

รถสีฟ้า : เสริมดวงให้ประสพความสำเร็จในการดำเนินชีวิตและหน้าที่การงาน

รถสีเขียว : อำนาจวาสนา บารมี เกียรติยศ และชื่อเสียงตำแหน่งหน้าที่การงาน อานุภาพอิทธิพลที่ทำให้คนเคารพยำเกรง มีความสามารถในการควบคุมบังคับบัญชาคน

รถสีแดง : สีต้องห้าม เพราะเป็น กาลกิณี หมายถึง โชคร้าย อัปมงคล ความเป็นเสนียด ศัตรูคู่แข่ง อุปสรรคในการดำเนินชีวิต

คนเกิดวันอังคาร
– ตามหลักทักษาคนที่เกิดวันอังคาร ห้ามใช้ ก ข ค ฆ ง เพราะเป็นอักษรกาลกิณี
– เลขทะเบียนรถห้าม ไม่ให้มีเลข 2 และเลข 1 และห้ามเลข เพราะทะเบียนที่มีเลข จะมีเรื่องและเกิดอุบัติบ่อยๆทำให้เสียเงินทองหรือทำให้เจ้าของได้รับบาดเจ็บ
– ไม่ควรทำการมงคลต่างๆ ในวันจันทร์ เพราะเป็นกาลกิณีในวันเกิดและไม่ควรทำการมงคลต่างๆ ในวันอาทิตย์เพราะเป็นวันคู่ศัตรูวันเกิด
– ถ้าจะออกรถ สีรถที่ควรเลือกใช้หรือสีรถที่ถูกโฉลก ของคนเกิดวันอังคาร

รถสีม่วงแก่ : เสริมวาสนาบารมี โชคลาภ ความโชคดี

รถสีดำ : เสริมดวงด้านพลังอำนาจ เกียรติยศ และชื่อเสียงตำแหน่งหน้าที่การงาน อานุภาพอิทธิพลที่ทำให้คนเคารพยำเกรง มีความสามารถในการควบคุมบังคับ

รถสีบรอนซ์ สีเทา : เสริมความน่าเชื่อถือ ความไว้วางใจ

รถสีทอง สีแสด : เสริมความสงบปลอดภัยจากเหตุร้าย เช่น อุบัติเหตุ แคล้วคลาดจากอันตรายทั้งปวง

รถสีน้ำตาล : เสริมดวงด้านความมั่นคงในชีวิต เช่นมั่นคงเรื่อง หลักทรัพย์ ทรัพย์สิน หน้าที่การงาน

รถสีเขียว : เสริมดวงด้านการแก้ปัญหา ไร้อุปสรรค ไร้ศัตรูและคู่แข่ง

รถสีแดง สีชมพู : เสริมดวงให้ประสพผลสำเร็จได้รับการอุปถัมภ์ค้ำชู ได้รับการสงเคราะห์เกื้อหนุนจากผู้ใหญ่ ได้รับการส่งเสริม ในการดำเนินชีวิตและหน้าที่การงาน

รถสีขาว สีเหลืองนวล : เป็นสีต้องห้าม เพราะเป็น กาลกิณี หมายถึง โชคร้าย อัปมงคล ความเป็นเสนียด ศัตรูคู่แข่ง อุปสรรคในการดำเนินชีวิต

คนเกิดวันพุธ? (กลางวัน 06.01-18.00)
– ตามหลักทักษาคนที่เกิดวันพุธ (กลางวัน) ห้ามใช้ จ ฉ ช ซ ฌ ญ เพราะเป็นอักษรกาลกิณี
– เลขทะเบียนรถห้าม ไม่ให้มีเลข 3 และเลข 8
– ไม่ควรทำการมงคลต่างๆ ในวันอังคาร เพราะเป็นกาลกิณีในวันเกิดและไม่ควรทำการมงคลต่างๆ ในวันพุธ (กลางคืน)เพราะเป็นวันคู่ศัตรูวันเกิด
– ถ้าจะออกรถ สีรถที่ควรเลือกใช้หรือสีรถที่ถูกโฉลก ของคนเกิดวันพุธ (กลางวัน)

รถสีน้ำเงิน สีฟ้า : เสริมดวงด้านความเคารพนับถือ ยกย่องยอมรับ

รถสีน้ำตาล สีทอง : เสริมดวงด้านพลังอำนาจ เกียรติยศ และชื่อเสียงตำแหน่งหน้าที่การงาน อานุภาพอิทธิพลที่ทำให้คนเคารพยำเกรง มีความสามารถในการควบคุมบังคับ

รถสีขาว สีเหลืองอ่อน : เสริมดวงให้ประสพผลสำเร็จได้รับการอุปถัมภ์ค้ำชู ได้รับการสงเคราะห์เกื้อหนุนจากผู้ใหญ่ ได้รับการส่งเสริม ในการดำเนินชีวิตและหน้าที่การงาน

รถสีเทา สีบรอนซ์ : เสริมความสงบปลอดภัยจากเหตุร้าย เช่น อุบัติเหตุ แคล้วคลาดจากอันตรายทั้งปวง

รถสีดำ : เสริมดวงด้านการแก้ปัญหา ไร้อุปสรรค ไร้ศัตรูและคู่แข่ง ชีวิตมีแต่ความสะดวก ราบรื่น

รถสีม่วงแก่ : เสริมโชควาสนา เสริมวาสนาบารมี โชคลาภ ความโชคดี

รถสีเขียว : เสริมดวงด้านเสน่ห์ที่ทำให้คนรักใคร่เมตตา และศรัทธาในตัวเรา

รถสีชมพู สีแสด : เป็นสีต้องห้าม เพราะเป็น กาลกิณี หมายถึง โชคร้าย อัปมงคล ความเป็นเสนียด ศัตรูคู่แข่ง อุปสรรคในการดำเนินชีวิต

คนเกิดวันพุธ? (กลางคืน 18.01-06.00)
– ตามหลักทักษาคนที่เกิดวันพุธ (กลางคืน) ห้ามใช้ บ ป ผ ฝ พ ฟ ภ ม เพราะเป็นอักษรกาลกิณี
– เลขทะเบียนรถห้าม ไม่ให้มีเลข 5 และเลข 4
– ไม่ควรทำการมงคลต่างๆ ในวันพฤหัสบดี เพราะเป็นกาลกิณีในวันเกิดและไม่ควรทำการมงคลต่างๆ ในวันพุธ (กลางวัน)
เพราะเป็นวันคู่ศัตรูวันเกิด
– ถ้าจะออกรถ สีรถที่ควรเลือกใช้หรือสีรถที่ถูกโฉลก ของคนเกิดวันพุธ (กลางคืน)

รถสีชมพู : เสริมดวงให้คนเชื่อถือและไว้วางใจ

รถสีดำ : เสริมดวงด้านความเจริญรุ่งเรืองในหน้าที่การงาน

รถสีเทา สีบรอนซ์ : เสริมความสงบปลอดภัยจากเหตุร้าย เช่น อุบัติเหตุ แคล้วคลาดจากอันตรายทั้งปวง

รถสีม่วงแก่ : เสริมดวงให้ประสพผลสำเร็จได้รับการอุปถัมภ์ค้ำชู ได้รับการสงเคราะห์เกื้อหนุนจากผู้ใหญ่ ได้รับการส่งเสริม ในการดำเนินชีวิตและหน้าที่การงาน

รถสีน้ำเงิน สีฟ้า : เสริมดวงด้านการแก้ปัญหา ไร้อุปสรรค ไร้ศัตรูและคู่แข่ง ชีวิตมีแต่ความสะดวก ราบรื่น

รถสีแดง สีน้ำตาล : เสริมโชควาสนา เสริมวาสนาบารมี โชคลาภ ความโชคดี

รถสีส้ม สีทอง : เป็นสีต้องห้าม เพราะเป็น กาลกิณี หมายถึง โชคร้าย อัปมงคล ความเป็นเสนียด ศัตรูคู่แข่ง อุปสรรคในการดำเนินชีวิต

คนเกิดวันพฤหัสบดี
– ตามหลักทักษาคนที่เกิดวันพฤหัสบดี ห้ามใช้ ด ต ถ ท ธ น เพราะเป็นอักษรกาลกิณี
– เลขทะเบียนรถห้าม ไม่ให้มีเลข 7
– ไม่ควรทำการมงคลต่างๆ ในวันเสาร์ เพราะเป็นกาลกิณีในวันเกิด
– ถ้าจะออกรถ สีรถที่ควรเลือกใช้หรือสีรถที่ถูกโฉลก ของคนเกิดวันพฤหัสบดี

รถสีขาว : เสริมดวงให้คนเชื่อถือและไว้วางใจ

รถสีแดง : เสริมดวงด้านความสงบปลอดภัยจากเหตุร้าย เช่น อุบัติเหตุ แคล้วคลาดจากอันตรายทั้งปวง

รถสีเทา สีบรอนซ์ : เสริมดวงด้านการแก้ปัญหา ไร้อุปสรรค ไร้ศัตรูและคู่แข่ง ชีวิตมีแต่ความสะดวก ราบรื่น

รถสีฟ้า : เสริมโชควาสนา เสริมวาสนาบารมี โชคลาภ ความโชคดี

รถสีเขียว : เสริมดวงให้ประสพผลสำเร็จได้รับการอุปถัมภ์ค้ำชู ได้รับการสงเคราะห์เกื้อหนุนจากผู้ใหญ่ ได้รับการส่งเสริม ในการดำเนินชีวิตและหน้าที่การงาน

รถสีส้ม สีทอง : เสริมความเป็นสิริมงคลแก่ชีวิต หลักทรัพย์ โชคลาภ เสน่ห์ที่ทำให้คนรักใคร่เมตตา และศรัทธาในตัวเรา

รถสีดำ สีม่วง สีน้ำเงิน : เป็นสีต้องห้าม เพราะเป็น กาลกิณี หมายถึง โชคร้าย อัปมงคล ความเป็นเสนียด ศัตรูคู่แข่ง อุปสรรคในการดำเนินชีวิต

คนเกิดวันศุกร์
– ตามหลักทักษาคนที่เกิดวันศุกร์ ห้ามใช้ ย ร ล ว เพราะเป็นอักษรกาลกิณี
– เลขทะเบียนรถห้าม ไม่ให้มีเลข 8 และเลข 7
– ไม่ควรทำการมงคลต่างๆ ในวันพุธ (กลางคืน) เพราะเป็นกาลกิณีในวันเกิดและไม่ควรทำการมงคลต่างๆ ในวันเสาร์เพราะเป็นวันคู่ศัตรูวันเกิด
– ถ้าจะออกรถ สีรถที่ควรเลือกใช้หรือสีรถที่ถูกโฉลก ของคนเกิดวันศุกร์

รถสีเขียว : เสริมดวงให้คนเชื่อถือและไว้วางใจ

รถสีสีแดง สีทอง : เสริมดวงด้านความก้าวหน้าเจริญรุ่งเรืองในหน้าที่การงาน

รถสีแดง สีชมพู : เสริมดวงด้านความสงบปลอดภัยจากเหตุร้าย เช่น อุบัติเหตุ แคล้วคลาดจากอันตรายทั้งปวง

รถสีเหลือง : เสริมดวงให้ประสพผลสำเร็จได้รับการอุปถัมภ์ค้ำชู ได้รับการสงเคราะห์เกื้อหนุนจากผู้ใหญ่ ได้รับการส่งเสริม ในการดำเนินชีวิตและหน้าที่การงาน

รถสีดำ : เสริมดวงด้านการแก้ปัญหา ไร้อุปสรรค ไร้ศัตรูและคู่แข่ง ชีวิตมีแต่ความสะดวก ราบรื่น

รถสีน้ำตาล : เสริมโชควาสนา เสริมวาสนาบารมี โชคลาภ ความโชคดี

รถสีฟ้า สีน้ำเงิน : เสริมความเป็นสิริมงคลแก่ชีวิต หลักทรัพย์ โชคลาภ เสน่ห์ที่ทำให้คนรักใคร่เมตตา และศรัทธาในตัวเรา

รถสีเทา สีบรอนซ์ สีม่วง : เป็นสีต้องห้าม เพราะเป็น กาลกิณี หมายถึง โชคร้าย อัปมงคล ความเป็นเสนียด ศัตรูคู่แข่ง อุปสรรคในการดำเนินชีวิต

คนเกิดวันเสาร์
– ตามหลักทักษาคนที่เกิดวันเสาร์ ห้ามใช้ ฎ ฏ ฐ ฑ ฒ ณ เพราะเป็นอักษรกาลกิณี
– เลขทะเบียนรถห้าม ไม่ให้มีเลข 4 และเลข 6
– ไม่ควรทำการมงคลต่างๆ ในวันพุธ (กลางวัน) เพราะเป็นกาลกิณีในวันเกิดและไม่ควรทำการมงคลต่างๆ ในวันศุกร์เพราะเป็นวันคู่ศัตรูวันเกิด
– ถ้าจะออกรถ สีรถที่ควรเลือกใช้หรือสีรถที่ถูกโฉลก ของคนเกิดวันเสาร์

รถสีแดง : เสริมดวงให้คนยอมรับเชื่อถือและไว้วางใจ

รถสีชมพู : เสริมดวงให้ประสพผลสำเร็จได้รับการอุปถัมภ์ค้ำชู ได้รับการสงเคราะห์เกื้อหนุนจากผู้ใหญ่ ได้รับการส่งเสริม ในการดำเนินชีวิตและหน้าที่การงาน

รถสีน้ำเงิน สีฟ้า : เสริมดวงด้านความสงบปลอดภัยจากเหตุร้าย เช่น อุบัติเหตุ แคล้วคลาดจากอันตรายทั้งปวง

รถสีทา สีบรอนซ์ : เสริมโชควาสนา เสริมวาสนาบารมี โชคลาภ ความโชคดี

รถสีทอง สีเหลือง : เสริมดวงด้านการแก้ปัญหา ไร้อุปสรรค ไร้ศัตรูและคู่แข่ง ชีวิตมีแต่ความสะดวก ราบรื่น

รถสีดำ สีม่วงแก่ : เสริมความเป็นสิริมงคลแก่ชีวิต หลักทรัพย์ โชคลาภ เสน่ห์ที่ทำให้คนรักใคร่เมตตา และศรัทธาในตัวเรา

รถสีเขียว สีแสด : เป็นสีต้องห้าม เพราะเป็น กาลกิณี หมายถึง โชคร้าย อัปมงคล ความเป็นเสนียด ศัตรูคู่แข่ง อุปสรรคในการดำเนินชีวิต

เครดิต : http://www.mahamodo.com/tamnai/color_car.asp

มารู้วิธีง่ายๆ ในการเลือกซื้อรถมือสองกันเถอะ

หลายๆคนคงมองดูอะไรต่อมิอะไรรอบๆตัวในภาวะเศรษฐกิจ เช่นนี้ ก็ต้องบอกกับตัวเองว่า ถ้าจะซื้ออะไรก็ต้องคิดหน้าคิดหลัง ให้ละเอียดซักนิด คิดสักหน่อย แล้วค่อยตัดสินใจ จะได้ไม่พลาด ถ้างั้นเราก็มาดูเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยการเลือกซื้อรถมือสองกันดีกว่าครับ

ลองบอกกับตัวเองก่อนว่าเป้าหมายมีอะไรจะได้ไม่สับสน เช่น รถประเภทอะไร กระบะหรือเก๋ง? ยี่ห้อเป้าหมาย ยี่ห้ออะไร? งบประมาณ? อายุรถที่ต้องการ? สีจำเป็นหรือไม่? เมื่อได้แล้วก็ลองมาเริ่มกันเลยครับ

ภายนอกรถ?. ลองยืนหันหน้าเข้าหาด้านหน้าของรถยนต์เป้าหมายตรงๆ โดยยืนห่างประมาณ 5 เมตรเป็นอย่างน้อย แล้งสังเกตรูปทรงของรถ ดูว่าสมส่วน ไม่เอียงไปข้างใดข้างหนึ่ง ไม่บิดเบี้ยวเหมือนคนยืนเท้าเอวข้างเดียวนั่นเหละ สีโดยทั่วไปเสมอกันหรือไม่ (อันนี้ขอบอกให้ดูรถในที่สว่างเท่านั้น) จากนั้นก็เดินเข้าใกล้รถอีกนิดก้มลงดูว่าพื้นสีมีความสม่ำเสมอ ? (ภาษารถเขาเรียกว่าดูเม็ดสีครับ) เป็นคลื่นๆหรือเปล่า? ถ้าดูแล้วสีไม่เท่ากันตรงจุดไหน ก็ตั้งข้อสงสัยไว้ก่อน เดี๋ยวมีขั้นตอนต่อครับ จากนั้นให้สังเกตแนวร่องระหว่างฝากระโปรงหน้า, เส้นขอบประตู หน้า-หลัง ซ้าย- ขวา ฝาท้ายรถ มีเส้นแนวเรียบ เสมอกันหรือไม่? หลังจากใช้สายตาแล้วก็ลงมือปฏิบัติกันบ้างล่ะ ลงมือเคาะโดยพยายามใช้ปลายเล็บจิกไปรอบๆ แล้วสังเกตเสียงและความรู้สึกหนาบางรอบตัวรถ รวมถึงหลังคารถ ถ้ามีจุดไหนที่เสียงดังทึบๆ มีโอกาสทำสีมาครับ เสียงโปร่งๆก็รอดไปขั้นหนึ่งครับ แล้ว ?..

เปิดฝาห้องเครื่อง แล้วสังเกตร่องน้ำทั้งสองข้าง คานหน้าเครื่อง ดูว่าความเรียบของสียังดีอยู่ไม่? โดยใช้มือลูบๆดู หากเห็นว่าหยาบและร่องไม่เสมอ ก็ตั้งข้อสงสัยว่าทำสีมาแล้วยังเก็บไม่เรียบร้อย คานหน้าให้ดูรูว่าบิดเบี้ยว ถ้ามองดูรู้สึกว่าหนาๆ ภาษารถก็อาจจะบอกว่าโดนมาครับ จากนั้นก็ดูซอกประตู, ประตูรถ โดยใช้วิธีเดียวกับที่ได้กล่าวมาครับ เสริมด้วยลองพลิกขอบยางดูด้วย ว่ามีการเก็บสีมาหรือ? สำหรับฝาท้ายรถก็ดูร่องน้ำคล้ายๆฝากระโปรงหน้า แต่ต้องลองขยับหรือเปิดพรมขึ้นมาอีกหน่อยเพื่อดูสีและความเรียบของพื้นยังเดิมๆอยู่หรือไม่? สีมีการพ่นมาใหม่หรือเปล่าๆ? แล้วให้ช่วยสังเกตดูช่องที่ใส่ประกอบไฟท้ายมีการทำมาหรือไม่? เบี้ยวหรือไม่? สนิมมีหรือไม่?

ที่นี้ลองมาดูระบบเครื่องยนต์กันบ้างครับ ให้ลองสตาร์ทเครื่องโดยไม่ต้องเร่งคันเร่งมากนัก หากเครื่องติดง่ายก็ถือว่าผ่านขั้นที่ 1 จากนั้นลองเร่งคันเร่งเล็กน้อยแล้วปล่อย ฟังและดูว่าเครื่องเดินได้ราบเรียบหรือเปล่า? ถ้าเสียงเรียบก็ผ่าน พอเครื่องยนต์อุ่นขึ้นลองดูแรงดันเครื่องคร่าวๆ โดยชักสายวัดน้ำมันเครื่อง ดูว่ามีควันขาวๆลอยออกมาด้วยหรือไม่? หรือมีละอองน้ำมันกระเด็นออกมาด้วยหรือไม่? ถ้ามีก็ ไม่โอเคนะครับ เพราะเครื่องอาจหลวมแล้วนะครับท่าน หรือไม่ก็อาจจะมีน้ำเข้ามาผสมในห้องเครื่องก็อาจเป็นได้ครับ แล้วสังเกตควันที่ปลายท่ออีกนิด ถ้าควันขาวอมเทาๆมีกลิ่นเหม็นเหมือนน้ำมันไหม้แล้วมีละอองน้ำมันออกมาด้วย ก็ขอแนะนำว่าอย่าไปสนใจรถคันนี้จะดีกว่านะครับ ท่าทางจะไม่ค่อยดีซะแล้ว

จากนั้นมาดูภายในห้องโดยกันดีกว่า ตรวจดูอุปกรณ์บนหน้าปัด การใช้งานอยู่ในสภาพดีอยู่หรือเปล่า? ระบบไฟมีครบใช้ได้หรือไม่? แล้วลองขยับเกียร์ เพื่อสังเกตว่าหลวมโยกกลวงๆหรือเปล่า? เมื่อเครื่องยนต์สตาร์ท ก็ลองเข้าเกียร์ ถ้าเป็นเกียร์โอโตเมติก ให้สังเกตดูการกระตุก และจังหวะการเปลี่ยนเกียร์ยังดีอยู่ หรือไม่? หรือเกียร์กระตุกมาก หรือเกียร์ไม่เปลี่ยน ก็แสดงว่ารถต้องการหมอแล้วครับ

ระบบช่วงล่าง ให้ลองวิ่งบนพื้นที่ไม้ราบเรียบแล้วฟังเสียงใต้ท้องรถว่ามีดังเหมือนมีอะไรหลวมๆเวลาที่ตกหลุมหรือพื้นไม่เรียบ ถ้ามีก็ให้สังเกตว่ามาจากจุดไหนเพื่อจะได้เช็คสาเหตุและประมาณค่าซ่อมได้ครับ จากนั้นก็ลองวิ่งตรงๆและลองปล่อยพวงมาลัยรถ เป็นช่วงๆ เพื่อดูว่ารถวิ่งตรงหรือเอียงไปฝั่งใดฝั่งหนึ่งหรือไม่? ถ้ามีก็ต้องขอรถขึ้นนายฮ้อยดูกันละครับ

เครดิต : http://www.buyatsiam.com/carTips.html;jsessionid…?id=16